แชร์เทคนิคการจับพลังพระ สำหรับมือใหม่ที่อยากรู้ว่าพระตัวเองมีพลังจริงหรือไม่ ?

สำหรับมือใหม่ที่พึ่งเข้าวงการพระเครื่อง (และจะไม่มีวันออกจากวงการนี้ได้อีกแล้ว) หรือผู้ที่ได้รับพระเครื่องเป็นมรดกตกทอดมา อาจจะมีบ้างที่รู้สึกสงสัยว่า พระเครื่องที่อยู่ในมือเรานี้เป็นของจริงหรือเปล่า มีพุทธคุณอย่างที่ใครๆ ว่ามาหรือเปล่า รวมถึงเรื่องราคาที่แพงเพราะว่าคนมีความรู้ต้มหมูกันหรือเปล่า ใครที่สงสัยใคร่รู้ในเรื่องนี้ เราอยากให้คุณลองหัดจับพลังพระดูสักครั้ง ไม่จำเป็นต้องมีญาณทิพย์ ขอแค่มีสมาธิก็สามารถรับรู้ได้ว่าพระองค์นี้ มีพลังใดๆ ซ่อนอยู่หรือไม่

หัดจับพลังพระไม่ใช่เรื่องยาก แค่แยกความแตกต่างให้ออกก็พอ

จริงๆ แล้วการจับพลังพระไม่มีอะไรมากเลย ขอแค่มีกำลังใจที่จะลอง และมีสมาธิพอที่จะรับสัญญาณใดๆ ที่ส่งออกมาจากวัตถุในมือได้ก็พอ เริ่มแรกให้ลองหาพระเครื่องมา 2-3 องค์ และลองหาวัตถุเล็กๆ เช่น ปากกา ยางลบ หินทับกระดาษ สำหรับไว้เปรียบเทียบด้วย

จากนั้นให้ใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วโป้งของมือข้างที่ไม่ถนัดสัมผัสหรือจับกับองค์พระเบาๆ พอให้รู้สึกว่า ฉันกำลังจับพระอยู่ (ระวังพระหลุดมือด้วย แนะนำให้หาอะไรนุ่มๆ ลองเพื่อไม่ให้พระเสียหาย) จับสลับกันไปมากับพระองค์อื่นๆ และปากกา ยางลม หรือวัตถุอื่นๆ ที่เตรียมมา คุณจะรู้สึกถึงกระแสพลังงานบางอย่างที่ไหลเข้าสู่ตัว โดยที่ไม่ใช่การมโน ไม่ใช่อุณหภูมิที่ร้อนหรือเย็นขึ้น และไม่ใช่การเต้นตุบๆ ของชีพจนที่ปลายนิ้ว

ถ้าจิตเริ่มนิ่งจนแยกแยะได้ว่า แบบไหนคือพลังงาน คราวนี้บางคนจะรับรู้ได้ว่าพลังงานในพระองค์นั้นๆ ไหลเข้ามาสู่ร่างกายบริเวณต่างๆ เช่น ข้อศอก หัวไหล่ ศีรษะ หรือบางคนก็ทะลุขึ้นไปเลย ถ้าพระองค์ไหนส่งพลังงานทะลุไปแล้วยังไหลย้อนกลับมาได้อีก ถือว่าพระองค์นั้นปลุกเสกมาดี มีพุทธคุณและบารมีสูงมาก การจับพลังงานนี่แหละ คือสิ่งที่คนมีเซนส์หลายคนรู้สึกขนลุกหรือมีอาการบางอย่างแบบเห็นได้ชัด เมื่อได้สัมผัสพระบางองค์ หรือสิ่งของบางอย่าง

กระแสพลังงานที่เกิดจากการจับพลังพระ มีแบบไหนบ้าง แต่ละแบบต่างกันยังไง?

ถ้าเตรียมพระมาจับพลังงานหลายๆ องค์ หลายคนจะสังเกตได้ชัดเลยว่า พลังงานที่แผ่นซ่านออกมาไม่เหมือนกัน สามารถจำแนกคร่าวๆ ได้ดังต่อไปนี้

• พระที่เด่นด้านคงกระพัน หรือแคล้วคลาด : มีกระแสรุนแรง เข้มแข็ง รวดเร็วฉับพลัน
• พระที่เด่นด้านเมตตา หรือโชคลาภ : มีกระแสบางเบา นุ่มนวล ไหลเอื่อยๆ เรื่อยๆ
• พระที่เด่นด้านสิริมงคล เสริมบารมี : มีกระแสแบบเยือกเย็น รู้สึกถึงความปิติ ชุ่มชื้น ใจฟู
• พระที่เด่นด้านมหาอุด : มีกระแสแบบรู้สึกตึบๆ หนักแน่น มั่นคง (แต่ไม่รุนแรง)
• พระที่เด่นด้านป้องกันภัยอันตราย : มีกระแสแบบทะลุทะลวง วิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย
• พระที่เด่นด้านกันคุณไสย อาถรรพ์ : มีกระแสแบบจู่โจม กระแทกแบบรุนแรง และทะลวง
• พระที่เด่นด้านนะจังงัง : มีกระแสแบบทำให้งง รู้สึกวูบวาบ ร้อนๆ หนาวๆ
• พระที่เด่นด้านการรักษา : มีกระแสที่ทำให้ร่างกายรู้สึกสบาย โล่ง ที่เจ็บป่วยอยู่ก็ดีขึ้นทันใจ

ถ้าหากว่าไม่รู้สึกถึงพลังงานอะไรเลย ก็อย่าพึ่งตกใจ เพราะไม่ได้หมายความว่าพระองค์นั้นเป็นพระปลอม หรือพระที่ไม่ผ่านการปลุกเสกมา อาจจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญดูอีกทีว่ามีการเสกแบบอื่น หรือเจออะไรที่ทำให้พระไม่สามารถส่งพลังได้หรือเปล่า เพราะจริงๆ แล้วต่อให้ครูบาอาจารย์ท่านไหนตั้งจิตอธิษฐานไว้ เพื่อปกปิดพลังงานของพระ ยังไงก็ยังต้องสัมผัสพลังงานนั้นได้อยู่บ้าง หรืออย่างน้อยที่สุดก็อาจจะเห็นเป็นกำแพงสีดำขนาดใหญ่ในนิมิตกั้นไว้ หรือส่งพลังออกไปก็กระเด้งสะท้อนกลับมาหาเรา 

แต่จะมีพระบางองค์ที่มีพลังงานแบบละเอียดและลึกซึ้งมาก ถึงขนาดที่มนุษย์มั่วไปไม่สามารถส่งจิตไปดูได้ อย่างพระบรมสารีริกธาตุ ก็จะไม่มีใครจับพลังงานได้ เพราะพลังงานนั้นกลายเป็นสุญญตาที่ไม่มีตัวตน ไม่สามารถระบุอะไรได้เลย

จำเป็นต้องเคยนั่งสมาธิ หรือมีฌาณก่อนมั้ย ถึงจะจับพลังพระได้

อย่างที่บอกไปในช่วงแรก แค่มีสมาธิก็สามารถจับพลังพระได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องอยากรู้อยากเห็น แค่รอรับพลังงานและแยกแยกให้ได้ก็พอว่าเป็นพลังงานแบบไหน แต่ถ้าใครอยากตรวจสอบพลังงานที่อยู่ในองค์พระอย่างจริงจัง แบบนั้นถึงควรจะต้องทำสมาธิให้ได้ถึงขั้น “อุปจารสมาธิ” เพราะจะสามารถถรับรู้ได้ถึงรังสี พลังงาน การปลุกเสก รวมไปถึงเทวดาทั้งหลายที่มาร่วมปลุกเสพ และรักษาองค์พระนั้นอยู่

อ่านเพิ่มเติม : อุปจารสมาธิ คืออะไร ทำถึงขั้นนี้แล้วจะเห็นอะไรได้บ้าง?